จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องในตัวเมียสำหรับแพร่ขยายพันธุ์และเป็นที่อยู่อาศัยของลูกอ่อน
นับเป็นสัตว์ในประเภทนี้ที่มีขนาดใหญ่ และเป็นสัตว์ประจำท้องถิ่นของออสเตรเลีย
(แต่โดยปกติแล้ว จิงโจ้จะหมายถึงแมคโครพอดที่อยู่ในสกุล Macropus)
คือ มีขาหลังที่ยาวแข็งแกร่ง ทรงพลัง ใช้ในการกระโดด และมีส่วนหางที่แข็งแรง
ใช้ในการทรงตัว และใช้ในการกระโดด
ลักษณะ
จิงโจ้มีขนาดที่หลากหลาย ตั้งแต่มีลำตัวสูงแค่ 30-40 เซนติเมตร
จนถึงตัวเล็กเท่ากระต่าย จนถึงสูงได้ถึง 6 ฟุต น้ำหนักกว่า 200 ปอนด์ ลักษณะขางอเป็นรูป ตัว L กลับตัว มีกลีบตีนแบบกวาง ทำให้มีกำลังขาในการแตะ
เพื่อป้องกันตัวจากศัตรู และไม่สามารถเดินถอยหลังได้
การที่จิงโจ้ต้องมีขาหลังใช้ในการกระโดด
เชื่อว่าเป็นผลมาจากการวิวัฒนาการหรือการกลายพันธุ์ให้เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพภูมิอากาศของทวีปออสเตรเลีย อันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัย จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่า
การกระโดดนั้นให้ผลในการเดินทางได้ดีกว่าม้าวิ่งเหยาะ ๆ หรือการวิ่งเสียอีก
ขณะที่ใช้พลังงานไปในอัตราส่วนที่น้อยและสามารถออมพลังงานเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่ได้อีกด้วย
การที่จิงโจ้กระโดดแต่ละครั้งนั้น จะเริ่มจากนิ้วตีน
และได้รับแรงส่งจากกล้ามเนื้อน่องที่แข็งแรง เอ็นร้อยหวายก็ยืดอย่างเต็มที่ ขณะที่ส่วนหางก็ใช้ในการรักษาสมดุล
วิวัฒนาการ
จิงโจ้นั้นวิวัฒนาการเมื่อกว่า 45
ล้านปีก่อนมาจากสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างคล้ายหนู ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังอาศัยอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย
เรียกว่า "จิงโจ้หนูวูยลีย์" แม้ไม่สามารถกระโดดได้ แต่ก็มีขาหลังที่ใหญ่
และสามารถนั่งพักบนหางตัวเองได้เหมือนเช่นจิงโจ้ในปัจจุบัน
ต่อมา 7 ล้านปีก่อน วอลลาบี หรือจิงโจ้แคระก็ได้กำเนิดขึ้นมา
ซึ่งบางชนิดก็ได้วิวัฒนาการตัวเองให้เหมาะสมแก่การปีนป่ายอาศัยอยู่ตามโขดหินผาต่าง
ๆ และ 5 ล้านปีต่อมา จิงโจ้สีเทา นับเป็นจิงโจ้ชนิดแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมา และ 1 ล้านปีต่อมา
จิงโจ้แดง
ซึ่งเป็นจิงโจ้และสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องชนิดที่ใหญ่ที่สุดก็ถือกำเนิดขึ้นมา
อาหาร
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ของจิงโจ้ เป็นการเลี้ยงตัวอ่อนด้วยน้ำนม โดนการตั้งท้องประมาณ
30-45 วัน หลังจากนั้น
ตัวอ่อนที่ยังไม่มีขนจะคลานมาจนถึงกระเป๋าหน้าท้องแล้วเลี้ยงตัวเองด้วยน้ำนมจนโตประมาณ
1 ปี ถึงจะออกจากกระเป๋าหน้าท้อง
แม้จะมีลูกได้ครั้งละ 1 ตัว
แต่จิงโจ้สามารถที่จะมีลูกได้มากกว่า 1 ตัว ในถุงหน้าท้อง โดยลูกจิงโจ้แต่ละตัวจะมีขนาดไม่เท่ากัน
เพราะเกิดในช่วงเวลาที่ต่างกัน หรือแม้กระทั่งมีตัวอ่อนในตัวของแม่จิงโจ้
ขณะที่ลูกจิงโจ้แรกคลอดยังคงคลานไปดูดนมอยู่ก็มี จิงโจ้จะมีเต้านมทั้งหมด 4 เต้า 2
เต้าแรกมีความยาวไว้สำหรับลูกจิงโจ้วัยอ่อนใช้ดูดกิน น้ำนมในส่วนนี้ มีคาร์โบไฮเดรตสูง
ไขมันต่ำ ขณะที่อีก 2 เต้าจะมีขนาดสั้น ไว้สำหรับลูกจิงโจ้ที่โตแล้วดูดกิน
มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ไขมันสูง ขณะที่แม่จิงโจ้มีลูกวัยอ่อน
ตัวอ่อนที่ยังไม่คลอดออกมา
จะหยุดพัฒนาการเพื่อรอให้ลูกจิงโจ้วัยอ่อนนั้นเติบโตขึ้นมา แล้วจึงมาแทนที่
จิงโจ้จึงเป็นสัตว์ที่ผสมพันธุ์และแพร่ขยายพันธุ์ได้ตลอดเวลา
ขณะที่ลูกจิงโจ้โตพอที่จะออกมาอยู่ข้างนอกได้แล้ว
และในถุงหน้าท้องมีลูกจิงโจ้อีกตัวที่ยังอาศัยอยู่
แม่จิงโจ้จะไล่ให้ลูกตัวที่โตกว่าไม่ให้เข้ามา อาจจะให้แค่โผล่หัวเข้าไปดูดนม
ซึ่งเวลานี้ลูกจิงโจ้ก็ถึงวัยจะที่กินหญ้าเองได้แล้ว แต่ก็มีถึงร้อยละ 80
ที่ลูกจิงโจ้จะตายลงเมื่ออายุได้ 2 ปี เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น